วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เลียบแนวเลาะทางแนบน้ำโขง

ถึงปากทางเข้าหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติผาแต้ม หน่วยที่ 1 (สร้อยสวรรค์) ใช้เวลาไม่มาก แต่หลังหักพวงมาลัยรถเลี้ยวขวาตามป้ายบอกทางเข้าไปยังตัวหน่วยพิทักษ์ฯ เท่านั้นเอง สภาพถนนเริ่มขรุขระและเป็นถนนลูกรังในบางช่วงที่ผ่านกลางหมู่บ้าน ควรชะลอความเร็วเพราะอยู่ในเขตชุมชน ความช้าของจังหวะล้อที่เคลื่อน เปิดโอกาสให้ได้พบเห็นชีวิตผู้คนซึ่งเป็นดั่งเจ้าบ้าน การได้เห็นเด็กๆ วิ่งเล่นกันไปมาระหว่างใต้ถุนบ้านที่อยู่ติดๆ กัน ภาพวงสนทนาที่ร้านน้ำแข็งไสของผู้ใหญ่วัยกลางคน กระทั่งชายชราที่ถอดเสื้อ มีผ้าขาวม้าพาดบ่ายืนหลบรถของพวกเราจนขาข้างหนึ่งย่ำเข้าไปในพงหญ้าข้าง ทาง... เหล่านี้เป็นภาพที่เห็นได้จากการขับรถอย่างเคารพความเป็นชุมชน และทั้งหมดมองได้(ชัด)จากความไม่เร่งรีบเท่านั้น นักท่องเที่ยวที่เสียค่าบริการมาจากผาแต้มแล้ว แค่แสดงบัตรให้เจ้าหน้าที่ดูก็สามารถผ่านเข้าไปยัง น้ำตกสร้อยสวรรค์ ได้เลย ทางเดินในช่วงแรกเป็นทางราบที่แม้ในปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวเช่นนี้ก็ยังพอ มีดอกไม้ให้แวะชมระหว่างทาง แม้จะไม่ละลานตาเต็มลานกว้าง แต่ความงามของทั้ง แดงอุบล และ หยาดน้ำค้าง ก็หาได้ลดลงในยามยืนต้นชูช่อบนผืนดินไม่ไกลต้นทางน้ำตก ก่อนถึง... ทางลงค่อนข้างสูงชัน แต่มีราวบันไดไว้ให้จับ จึงไม่ยากเกินไปกับเสียงน้ำตกดังที่ยินเสียงใกล้เข้ามา ทั้ง สายน้ำที่ทิ้งตัวกระทบลานหิน กระเซ็นเป็นละอองน้ำไปรอบทิศทาง กับทางน้ำที่ไหลลดหลั่นตามแนวขั้นบันได มีจังหวะทั้งเร่งและผ่อนชะลอก่อนถึงลานหินเบื้องล่าง สายน้ำทั้งสองมาบรรจบกันก่อนไหลลงสู่ปลายน้ำ -แม่น้ำโขง- ชื่อสร้อยสวรรค์มีที่มาจากการที่สองสายน้ำมาเชื่อมคล้องกันเช่นสายสร้อยนั่น เอง ผมมีโอกาสสบตากับสายน้ำตกที่ทิ้งตัวเป็นแนวขั้นบันไดก่อน ซึ่งมีต้นน้ำอันเกิดจาก ห้วยสร้อย แม้อยู่ไกลตากว่าก็ตาม ส่วนสายน้ำตกที่ทิ้งตัวลงมาตามแนวดิ่งหน้าผา 90 อาศานั้นมีต้นน้ำอันเกิดจาก ห้วยสะหนมซึ่งต้องเดินเข้าไปให้ใกล้จึงจะเห็นชัดเนื่องจากมีแนวต้นไม้บังอยู่ ด้วยความสูง 50-90 เมตร ความกว้างราว 30 เมตร นี่คือความพิเศษโดยแท้ที่สรรค์สร้างมาจากตาน้ำบนลานผาสูงก่อนคืนสู่มหานที แม่น้ำโขง และหมุนเวียนแปรสลับในวงวัฏหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตมานานนับแต่ครั้งโบราณกาล

ระหว่างทางเชื่อมโยงโขงสองฝั่ง

ตามทางหลวงหมายเลข 2112 สุดเขตอุบลราชธานีที่ อ.เขมราฐ เพื่อจับเส้นทางหลวงหมายเลข 2242 ที่จะเชื่อมกับ 2034 อันเป็นทางหลวงเส้นที่เลียบชิดแม่น้ำโขงที่สุด ตั้งแต่เข้าเขต อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ และต่อเนื่องจนเข้าสู่เขต จ.มุกดาหาร ในที่สุด เข้าเขตเมืองปัญหาที่มักยากหลีกเลี่ยงคือไฟจราจร บ่อยครั้งทำให้รถทั้งสามคันในคณะของเราพลัดหลงกัน ถนนซอกซอยในตัวจังหวัดก็เช่นกันที่มักเป็นทางเลือกที่ไม่ง่ายในการตัดสินใจ ที่มุกดาหารก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น จนเมื่อพ้นเขตชุมชนออกมา การจอดรอจึงเป็นทางออกที่ผมตัดสินใจร่วมกับโชเฟอร์รถนำขบวน และช่างเป็นความบังเอิญอันแสนโชคดีที่จุดจอดรถข้างถนนของพวกเราเดินไปอีกไม่ กี่ก้าวก็เห็นแม่น้ำโขงเต็มตา แม้จะเป็นมุมมองในเขตเมืองที่มองไปซ้ายขวาเห็นแต่ร้านอาหารก็ตาม ลมแม่น้ำพัดแรงพอสมควร เสียงใบต้นกล้วยริ่มตลิ่ง(สูง)ข้างร้านอาหารแห่งนั้นดังชัดเจน มองไปเห็นทางยาวตลอดใบแตกเป็นริ้วลู่ลม ตลิ่งด้านล่างนอกจากเรือหาปลาของชาวบ้านแล้ว ผมเห็นเรือลาดตระเวนของตำรวจน้ำจอดอยู่ข้างบ้านพักที่ปลูกไว้บนแพอย่าง มาตรฐาน ถ้าเข้าใจไม่ผิดคงเป็นบ้านพักของเจ้าหน้าที่ ไกลออกไปกลางลำน้ำกว้าง มีแก่งที่วางตัวขนานทางน้ำอยู่ พยายามมองเพ่งดูก็ไม่เห็นทั้งสิ่งปลูกสร้างและความเคลื่อนไหวของผู้คน คงมีแต่พุ่มไม้ท่ามกลางหย่อมหญ้าสีเขียวกลางเปลวแดดช่วงบ่ายคล้อยเย็น แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือบางอย่างที่พาดแนวขวางทางน้ำ เชื่อมสองแนวดินเข้าไว้ด้วยกัน ผมมองเห็นอยู่ไกลๆ และกำลังจะออกเดินทางเพื่อไปมองใกล้ๆ ให้ชัดพร้อมๆ กับคณะของเราอีกสองคันที่ตามมาสมทบแล้ว ระดับน้ำที่ลดลงเห็นได้จากคราบที่เกาะจับอยู่ที่ตอหม้อของ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2 ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างมุกดาหารของไทยเรากับ แขวงสุวรรณเขต ของประเทศลาว ให้สามารถไปมาค้าขายกันได้สะดวกกว่ายุคเก่าก่อน ภาพบ้านเรือนที่มองเห็นจากฝั่งของเพื่อนบ้านดูแล้วไม่ต่างจากฝั่งบ้าน เรามากนัก จะมีก็เพียงความเขียวครึ้มของต้นไม้น้อยใหญ่ที่ไม่มีสิ่งใดปิดบังความจริง เบื้องหน้าได้ นอกจากดูชื่นตาแล้ว ยังแอบชื่นใจในการเห็นคุณค่าของฝั่งสุวรรณเขตจริงๆ ต้นไม้อยู่ได้กับทุกชุมชนไม่มีข้อยกเว้นใด นอกเสียจากว่าคนจะสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเอง ภาพสุดท้ายของแม่น้ำโขงผมเห็นคนหาปลาช่วงน้ำลดขมีขมันกับการงานของตน เองอยู่ไม่ไกลตลิ่ง ขณะที่ไกลออกไป เรือดูดทรายจอดนิ่ง แม้ว่าจะกำลังเร่งดูดทรายแม่น้ำอยู่อย่างเต็มกำลังก็ตาม แต่จากสายตาของผมดูยังไงก็ไม่เห็นท่วงท่าอันเป็นหนึ่งเดียวกับแม่น้ำ ซึ่งต่างจากความรู้สึกยามมองดูคนหาปลา... ถนนเลียบแม่น้ำที่คณะของเราเดินทางทวนทางน้ำมาตลอดนับจากโขงเจียม บัดนี้กำลังฉีกตัวเข้ามาในแผ่นดิน โดยเฉพาะบนทางหลวงสาย 212 ที่เริ่มต้นจากตัวเมืองมุกดาหารจนเข้าสู่เขต อ.หว้านใหญ่ ปลายทางของทริปนี้อยู่ที่อำเภอแรกของ จ.นครพนม ด้านที่ติดต่อกับ จ.มุกดาหาร ซึ่งไม่น่าเกินหนึ่งชั่วโมงสำหรับการเดินทางที่มีจุดหมายยังศาสนสถานอัน สำคัญยิ่งของแผ่นดินอีสาน ซึ่งว่ากันว่าเป็นอีกสะพานเชื่อมหนึ่งของพี่น้องสองฝั่งโขงที่ดำรงคงมั่นมา นับนานเกินกว่าอายุของสะพานแห่งใด สูงตระหง่านนำทางสายตาให้มองตามมาจนลอดซุ้มทางเข้าไปยังลานจอดรถของ วัดพระธาตุพนมรมหาวิหาร แม้ว่าเป็นช่วงเย็นแล้วก็ตามแต่ภาพผู้คนที่มาจากทั่วสารทิศเพื่อสักการบูชา พระธาตุพนม ดูราวกับว่าเวลาไม่ใช่เงื่อนไข พระธาตุพนมเป็นเจดีย์สี่เหลี่ยม วัดโดยรอบได้ 49.36 เมตร สูงจากพื้นดินถึงยอดฉัตร 57เมตร แบ่งเป็น 4 ตอนตามแนวตั้ง คือ ตอนที่ 1 และ 2 เป็นรูปปรางค์มีซุ้มทั้งสี่ด้าน มีรูปลายสลักอิฐเป็น รูปก้านขด และ รูปกษัตริย์โบราณ ซึ่งทั้งสองตอนนี้เป็นของโบราณ โดยเฉพาะอิฐแดงเป็นของโบราณแท้ ส่วนที่ฉาบปูนโบกไว้เป็นของที่ซ่อมแซมในภายหลัง ถัดไปเป็น บัวคว่ำ และ บัวปากระฆัง ตอนที่ 3 คือ ตัวระฆัง และส่วนบนสุดตอนที่ 4 เป็น ยอดฉัตร แม้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างเมื่อใด แต่พิจารณาเทียบเคียงจากงานศิลปกรรมที่ปรากฏบนองค์พระธาตุทั้งขอม ทวาราวดี และจาม จึงพอสันนิษฐานว่าสร้างมาไม่ต่ำกว่า 1,500 ปี ขณะที่แสงของวันเริ่มสลัวราง แต่มิอาจบดบังภาพจริงเบื้องหน้าได้แม้เพียงน้อย ด้วยความจริงที่ดำรงอยู่ไม่เคยถูกกลบลบกลืนด้วยเพียงแค่การมาย่ำเยือนของ ราตรีกาล ผมกำลังจะเดินออกมาทางประตูข้างวิหารคด แต่แล้วก็ต้องหยุดด้วยความสนใจ เมื่อเห็นชายวัยกลางคนทั้งคู่กำลังนั่งสลักแผ่นไม้อยู่อย่างไม่สนใจต่อ เงื่อนไขของเวลา สอบถามจึงได้ความว่ากำลังแกะสลัก บานประตูวิหารคดด้านตะวันตก อยู่ ด้วยมืองานของคนเล็กๆ ที่ทำหน้าที่สืบพระพุทธศาสนาในอีกทางหนึ่ง เพื่อรอเปิดรับพี่น้องทั้งจากฝั่งไทยและฝั่งลาว ที่ต่างมอบความเคารพศรัทธาต่อพระธาตุพนม นี่คือสะพานมิตรภาพถาวรโดยแท้ของคนสองฝั่งโขง และในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่กำลังมองภาพรอบตัวจากบนสะพานเวลา ขณะที่รถกำลังจะพ้นจาก อ.ธาตุพนม ผมบอกกับตัวเองในใจว่า....

ทริปนี้ถึงแล้วซึ่งความตั้งใจ

นายคิดถึง...ที่วังเวียง

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เกาะช้าง


เกาะล้าน หรือที่รู้จักกันในนามเกาะปะการังนั้นเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่าง ชาติเป็นอย่างมาก เหตุที่เรียกเกาะล้านว่าเกาะปะการังนั้นเนื่องจากใต้ทะเลของบริเวณเกาะดัง กล่าวเต็มไปด้วยปะการังที่สวยงามและหลายชนิด และประกอบไปด้วยหมู่เกาะเล็ก ๆ ซึ่งรวมถึง เกาะครก และเกาะสาก เกาะล้านนั้นเป็นเกาะที่เหมาะสำหรับการดำน้ำดูปะการัง (สน็อร์กเกิล) และหาดทรายสีขาว ทะเลสีน้ำเงินเข้มไปถึงสีเขียวน้ำทะเล ที่ทำให้นึกถึงทะเลอันดามัน เกาะล้านตั้งอยู่ไม่ไกลจากพัทยาและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เป็นอย่างมาก

เกาะล้าน อยู่ห่างชายฝั่งพัทยา 7 กิโลเมตร นั่งเรือโดยสาร 45 นาที หากเดินทางโดยเรือเร็วใช้เวลาเพียง 15 นาที มีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ ดูปะการัง เล่นกีฬาทางน้ำ เช่น เรือลากร่มชูชีพ เรือสกี สกู๊ดเตอร์ โดยเฉพาะที่หาดตาแหวน หาดทองหลาง หาดนวล และหาดเทียน ส่วนหาดแสมบรรยากาศเงียบสงบกว่าหาดอื่น บริเวณเกาะล้าน และเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เช่น เกาะครก และเกาะสาก เป็นแหล่งตกปลาดำน้ำดูปะการัง ทั้งแบบน้ำลึกและน้ำตื้น และเป็นสถานที่ฝึกหัดเรียนดำน้ำ

การเดินทาง มีเรือโดยสารออกจากท่าเรือพัทยาใต้ไปเกาะล้านทุกวัน เที่ยวไป ตั้งแต่เวลา 10.00 น.-18.30 น. เที่ยวกลับ มี 2 รอบ เวลา 12.00 น. และ 14.00 น. อัตราค่าเรือโดยสาร คนละ 30 บาท เรือจอดที่ท่าหน้าบ้าน หากจะเดินทางต่อไปชายหาดอื่นสามารถเช่าเรือหางยาว หรือรถรับจ้าง นอกจากนี้ยังมีบริการเรือเร็วให้เช่าอยู่ทั่วไปตามชายหาดพัทยา อัตราค่าเช่าประมาณ 3,000 บาท สามารถแวะเที่ยวได้หลายหาดแล้วแต่จะตกลงกัน